no right click


Monday, May 16, 2011

ตอนที่ 1. (Not) A First Impression: แรกพบ สบหน้า ระอาจิต

ตอนที่ 1. (Not) A First Impression: แรกพบ สบหน้า ระอาจิต

“จะได้เมียอยู่อีกวันสองวัน อย่าทำหน้าอย่างกับคนแบกโลกไว้ทั้งโลกอย่างนั้นสินายเหมือง”
น้ำเสียงทุ้มของอาจารย์อติวิชญ์เย้าน้องชายของตนที่นั่งทำหน้าอย่างที่กล่าวเอาไว้อย่างแท้จริง
แก้วน้ำสีอำพันในมือของอิศม์เดช ธรรมภิบาลถูกยกขึ้นดื่มพรวดเดียวหมด โดยไม่สนใจกับรสชาติฝาดบาดลำคอเขาไปนั่น หนุ่มหล่อมาดคมเข้มตามแบบฉบับนายเหมืองวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างไม่เบามือนัก มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าคมคล้ามหันมามองพี่ชายของตนเอง ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่ก็รู้ว่า ผมไม่ได้เต็มใจ”
นิ้วแกร่งเคาะเบาๆ ลงบนแก้ว ดวงตาคมกราดมองไปทั่วๆ ผับอย่างเลื่อนลอย มองไปรอบๆ ผับที่ทั้งคู่มานั่งฉลองลาความโสดด้วยกัน
การแต่งงานที่เขาไม่ได้เต็มใจแต่ไม่อยากขัดใจผู้เป็นมารดากำลังจะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าเพียงเขาไม่เคยทำให้มารดาต้องเสียใจจากการกระทำในอดีต เขาก็คงไม่คิดจะตกลงแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารู้จักเพียงแค่ชื่อเท่านั้นเป็นแน่
เพราะความผิดหวังจากการแต่งงานกับสาวคนรักในอดีต ทำให้อิศม์เดชกลายเป็นคนไร้รัก ไร้หัวใจ และไม่คิดรักใคร
หัวใจของเขาเหลือเพียงหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อรักหญิงคนใดได้อีกแล้ว
“ไม่เต็มใจก็ไม่ต้องแต่งสิ” คนเป็นพี่ให้กำลังใจ ยกมือขึ้นขึ้นตบไหล่แข็งแรงของน้องชายเบาๆ
“อยู่ที่โน่น ก็มีสาวๆ ที่แกเล็งๆ ไว้บ้างแล้วไม่ใช่หรือ พอมีหลานเมื่อไหร่ ก็ค่อยเอามาอวดคุณแม่ ขี้คร้านจะยกเลิกงานแต่งให้โดยไม่ถามไถ่ต่อรองอะไรอีกต่อไป” ผู้เป็นพี่พูดไปตามที่รู้มาบ้างว่าน้องชายก็มีผู้หญิงนอนร่วมเตียงเดียวกันอยู่ที่เหมืองของเขาด้วย
รวมทั้งแนะนำไปตามประสบการณ์ตรง ในฐานะคนเคยโดนคุณหญิงอรวรายัดเยียดว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้มาก่อน แต่หากในเวลานั้น เขาได้ปลูกต้นรักอันแสนมั่นคงกับภรรยาวัยละอ่อนของเขาไว้อยู่ก่อนแล้ว และความรักของเขากับนลินทินี ก็ผลิบานและออกผลผลิตซึ่งทำให้ครอบครัวเล็กๆ ที่เขาสร้างร่วมกับเธอแข็งแกร่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยรักของพวกเขาทั้งคู่..
จวบจนวันนี้ ความรักของพวกเขาก็ยังมั่นคงไม่เคยเปลี่ยน
“ไม่ว่าสาวคนไหน ผมก็ไม่อยากจะแต่งด้วยทั้งนั้นล่ะครับ แต่ที่ยอมเพราะไม่อยากจะขัดคำขอของคุณแม่... อีกครั้ง”
คนเคยทำผิด เพราะขัดคำสั่งสอนของมารดา ทำเอาคุณหญิงอรวราโกรธเคือง ขู่ถึงขั้นตัดแม่ตัดลูกกัน แต่ทางเขาก็ไม่สนใจกับคำขู่ อิศม์เดชจึงตัดสินใจแต่งงานอยู่กินกับภรรยาต่างชาติของเขาตั้งแต่สมัยเดินทางไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และครองรักกันหลายปี...
ทว่ารักแท้ของเขาก็ทำพิษ.... อิศม์เดชต้องระหกระเหกลับมาอยู่เมืองไทยแบบไม่บอกไม่กล่าวญาติพี่น้องบุพการีไม่พอ ยังหันเหตัวเองไปทำเหมืองหินปูนอยู่ที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และยังยึดถือเป็นอาชีพหลักและอาชีพที่เขารักจนถึงทุกวันนี้...


“ยังไม่ลืมอีกหรือ” อติวิชญ์ถาม ทั้งๆ ที่รู้คำตอบ ไม่งั้นน้องชายของเขาคงไม่กลายเป็นผู้ชายเย็นชาไร้รักเยี่ยงนี้เป็นแน่ บาดแผลในใจของอิศม์เดชนั้นร้าวลึกเพียงใด คงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ และเขาก็หวังว่า จะมีใครสักคนเข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับชีวิตรักครั้งใหม่ด้วย
ทว่าอติวิชญ์ก็แทบหวังอะไรกับการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เลย เพราะมันไม่ต่างกับคลุมถุงชนเลยสักนิด
“พอดีผมเป็นคนช่างจำเสียด้วยสิครับพี่อาร์ท”
“มันตั้งเกือบ 6 ปีแล้วนะ พี่ว่าเอิร์ธน่าจะเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว... แล้วก็เริ่มด้วยผู้หญิงที่แกแต่งงานด้วยไง”
อิศม์เดชกระตุกยิ้มมุมปากในเชิงเยาะ ทว่าเยาะให้กับตนเอง...
“ผมคงรักใครไม่ได้อีกแล้วครับ”

ในอีกมุมหนึ่งของผับเดียวกันนี้ มุกตาภา ดิถีภิรมณ์สาวหน้าหวานหากนัยน์ตากลมโตของเธอนั้นแสนเศร้าสร้อยก็กำลังดื่มอำลาให้กับชีวิตโสดของเธออยู่อย่างเดียวดาย แต่เพียงไม่นานนัก แขกที่ไม่ได้รับเชิญ และก็เป็นคนเดียวกับคนที่เธอต้องการจะลืมมากที่สุดก็เดินมาหาถึงที่โต๊ะ พร้อมกับถือวิสาสะนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เอ่ยปากอนุญาตสักคำ...
“พะ พี่รุจน์ มาได้ยังไงคะ” เธอถามอย่างตื่นๆ ดวงตาโตสอดส่ายหาคู่กรณีที่คอยตามราวีไม่เลิก ไม่ต่างกับคนตรงหน้า
“พะ พี่มากับวะ...” ตั้งใจจะเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องสูญเสียผู้หญิงที่ดีพร้อมอย่างเธอไป แต่ก็ยั้งปากไว้ทัน ร่างใหญ่เขยิบเข้าไปนั่งเคียงข้างร่างเล็ก ใกล้เสียจนมุกตาภาต้องเขยิบตัวหนี
“มากับคุณวิภาดาใช่ไหมคะ” มุกตาภาย้อนถามเสียงขื่นขม กัดริมฝีปากแน่นสะกดกลั้นอารมณ์หลายหลากเอาไว้เต็มที่ “พี่รุจน์ไปเสียเถอะค่ะ มุกไม่อยากมีเรื่องให้อายคน ทุกวันนี้มุกก็ไม่รู้จะเอาหน้าตัวเองไปไว้ที่ไหนแล้ว”
เธอไล่แบบไม่เกรงใจ สะบัดใบหน้างามหนี พร้อมกับกรีดไล่น้ำตาแห่งความอาดูรที่มันสำควรหมดไปจากตัวเธอได้แล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องน่าละอายนั้นขึ้น
“พี่ขอโทษ... มุกอย่าแต่งงานเลยนะครับ พี่กำลังเคลียร์ตัวเองจากวิได้แล้ว”
นิรุจน์เว้าวอน มือใหญ่ก็ยื้อยุดให้ร่างเล็กหันมาเผชิญหน้ากับตน ผู้หญิงที่เขารักหมดใจ กำลังจะตกเป็นของชายอื่น จะให้เขาทนได้อย่างไร ถ้าคนรักที่เขาพร้อมจะสลัดทิ้งอย่างวิภาดาไม่เกาะติดเขาแน่นถึงเพียงนี้ เขาก็คงสมหวังกับมุกตาภาไปแล้ว ก็ในเมื่อ...
“เฮอะ พี่รุจน์เอาอะไรมาพูด” เสียงหวานสั่นเย้ยหยัน ใบหน้างามเชิดขึ้น เขามีวิภาดาตามติดเป็นเงาตามตัว เพราะฉะนั้นเรื่องจะสลัดหล่อนทิ้ง ไม่มีวันเป็นไปได้
“...และต่อให้พี่รุจน์เลิกราหย่าขาดกับผู้หญิงของพี่ แล้วนึกว่ามุกจะยอมกลับไปคืนดีกับผู้ชายที่ฉวยโอกาสเอากับมุกได้หรือคะ” คนเคยช้ำตะคอกถามแข่งกับเสียงดนตรีในผับ พลางสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้ชายมากรักและช่างฉวยโอกาสอย่างไม่น่าอภัย
“ปล่อยให้มุกได้ไปตามทางของมุกเถอะค่ะ และไม่ว่ายังไง มุกก็ต้องแต่งงานกับเขาค่ะ” เธอวิงวอนเสียงเครือ
เพราะต้องการหลบหนีไปจากวงจร เราสามคน ให้พ้น และเพราะตอบตกลงกับผู้ใหญ่ไปแล้ว เธอก็คงหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นเจ้าสาวของผู้ชายที่เธอรู้จักเพียงแค่ชื่อเท่านั้น
“แต่มุกไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น” นิรุจน์ไม่ละความพยายาม
“มุกคงรักใครไม่ได้แล้วล่ะคะ ตั้งแต่โดนพี่รุจน์ทำลายความรักและความไว้ใจของเราสองคนไป” มุกตาภาประชดต่อว่า ถลึงตามองคนเห็นแก่ตัวอย่างแค้นเคือง
“ตะ แต่มุกเป็นของพี่แล้วนะ” แววตาคมของคนพูดสั่นหวิวไหว ยามต้องเอ่ยคำเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเช่นนี้ออกมา
คนฟังสะอื้นในอกที่กลัดเป็นหนอง น้ำตาจากเบ้าตาไหวระริกไหลนองแก้มแดงก่ำราวกับเขื่อนพัง เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้เธอยังโศกเศร้าคิดมากไม่จบไม่สิ้น
สายตาแสนผิดหวังของมุกตาภาจ้องหน้าผู้ชายที่เธอเคยหลงรักหมดใจ และเคยคบหากันมาจนคิดว่าจะได้ร่วมหอลงโรงกับเขา แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป เธอพบว่า เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว มุกตาภาเสียใจจนแทบเสียผู้เสียคน และตีตัวออกห่าง เพราะไม่ต้องการเป็นมือที่สามของใคร
ทว่านิรุจน์ไม่ยอม ตามตอแยเธอไม่เลิกไม่พอ ยังหลอกมอมเหล้ามอมยา พรากสิ่งสำคัญของชีวิตสาวของเธอไปด้วย จนเธอต้องหนีไปทำใจที่ประเทศอังกฤษถึงหนึ่งปีเต็ม ซึ่งยังไม่เพียงพอในการรักษาบาดแผลร้าวลึกในใจ
ยิ่งเมื่อเธอกลับมาเมืองไทยเมื่อสามเดือนที่แล้ว นิรุจน์ก็ยังตามตื๊อขอคืนดีพร้อมกับทวงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเธออย่างไม่ลดละ รวมทั้งบอกว่าเลิกกับเมียไปแล้ว แต่จริงๆ แล้ว เขาโกหก...
และเมื่อคุณหญิงอรวราติดต่อสู่ขอเธออีกครั้ง หลังจากที่เคยทาบทามมาแล้วครั้งนึงเมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว แต่ก็ต้องยกเลิกไป เพราะบุตรชายคนโตของคุณหญิงปฏิเสธการแต่งงานกับเธอ คนที่หมดหนทางหนีวงจรรักสามเสร้าอย่างเธอจึงรับคำโดยทันที และหวังว่า ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอจะไม่รังเกียจร่างกายมีราคีของเธอ...
“มุกไม่แคร์หรอกคะ นึกว่ามุกเป็นของพี่รุจน์คนเดียวหรือยังไงคะ อย่าลืมนะคะ มุกไปอยู่เมืองนอกตั้งปีนึง ฝรั่งหัวแดงหัวทองมุกก็ควงมาแล้วทั้งนั้น” มุกตาภาเชิดหน้าย้อนเสียงแข็ง
“ทำไมมุกพูดแบบนี้ล่ะครับ พี่รักมุกนะครับ รักมาก” นิรุจน์ไม่เชื่อในคำของเธอสักนิด เพราะเขารู้ดี ว่าผู้หญิงตรงหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเพียงใด นิสัยเปลี่ยนผู้ชายคนแล้วคนเล่านั้น ไม่ใช่มุกตาภาแน่นอน
“ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะพี่รุจน์ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว และมุกก็ลืมมันไปหมดแล้ว” มุกตาภาตัดความ ก่อนลาอย่างตัดบัวเหลือใย
“ขอโทษที่ไม่ได้เชิญพี่รุจน์และภรรยานะคะ เพราะงานแต่งงานจัดเล็กๆ เชิญแค่คนภายในครอบครัว”
มุกตาภาพยุงร่างโงนเงนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ขึ้น สะบัดมือใหญ่ที่ยังไม่เลิกเกาะเกี่ยวเธอเอาไว้ ทว่าก่อนที่เธอจะต่อว่าด่ากล่าวนิรุจน์ เสียงแหลมปรี๊ดของคู่กรณีที่เธออยากหนีไปให้ไกลที่สุด ก็ดังขึ้น...
“กรี๊ดดด นังมุกตาภา อีผู้หญิงหน้าด้าน ไม่มีปัญญาหาผู้ชายหรือยังไง ถึงได้วิ่งโร่มาแย่งผัวชาวบ้านอยู่ได้”
ร่างอวบอั๋นของวิภาดาปรี่เข้ามากระชากสามีของตนที่ยังนัวเนียอยู่กับมุกตาภา ก่นด่าสาดเสียเทเสีย พร้อมกับฝากฝ่ามือจากพิษรักแรงหึงลงบนใบหน้างามของมุกตาภาจนหน้าหันดังขวับ..
“อีนังเมียน้อย อีหน้าไม่อาย ผัวฉันทั้งคน ฉันไม่ยกให้แกหรอก”
วิภาดายังผรุทสวาทไม่เลิก ออกแรงผลักผู้หญิงหน้าด้านสุดแรง จนร่างเล็กที่ตั้งตัวไม่ทันเซถลาไปด้านหลัง เสียการทรงตัว และเกือบล้มลงไปกองกับพื้น...
ทว่าโชคดีที่มีมือแข็งแรงมารับร่างเล็กเอาไว้ได้ทัน... มุกตาภาจึงตกอยู่ในอ้อมกอดชายแปลกหน้าที่มาช่วยไม่ให้เธอต้องล้มกระแทกพื้นอย่างหวุดหวิด...

อิศม์เดชที่เสร็จจากดื่มอำลาชีวิตโสดขอพี่ชายไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับบ้าน แล้วในขณะที่เขากำลังเดินผ่านหน้าโต๊ะที่มีหญิงชายเกาะเกี่ยวกันอยู่เหนียวแน่น ร่างใหญ่ของเขาก็หยุดชะงักโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเองต้องหยุดมองชายหญิงพรอดรักกันด้วย
ทว่าก่อนที่เขาจะได้คำตอบให้ตัวเอง ก็มีผู้หญิงอีกคนนึงปรี่เข้ามาลงไม้ลงมือพร้อมกับส่งเสียงต่อว่าชายหญิงทั้งคู่ด้วย ภาพที่เห็นไม่ต่างกับละครน้ำเน่าที่คนงานในเหมืองของเขาชื่นชอบและตั้งหน้าตั้งตาคอยหลังข่าวภาคค่ำเลยสักนิด
และถึงแม้เสียงเพลงในผับจะดังสนั่น แต่น้ำเสียงแหลมของผู้หญิงคนนั้นก็สั่นโสตประสาทและเขาก็จับใจความนั่นได้อย่างชัดเจน
นัยน์ตาคมที่ฉายแววเย้ยหยันสาดส่องผู้หญิงไร้ยางอาย อิศม์เดชส่ายศีรษะอย่างระอาในใจ และถึงไม่ต้องสำรวจมาก เขาก็พอจะเห็นว่าผู้หญิงที่โดนประณามทำร้ายอยู่นั่น หน้าตาก็ดี รูปร่างที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดแซ็คสายเดี่ยวนั้นก็คงดีไม่แพ้กัน ทว่าทำไมต้องคิดสั้นด้วยการปีนต้นงิ้วแย่งสามีคนอื่นด้วย
ชายหนุ่มสลัดความคิดทิ้ง ก่อนเริ่มก้าวเดินไปสมทบกับพี่ชาย แต่ยังไม่ทันได้ย่างเท้า ร่างเล็กที่โดนผลักจนกระเด็น ก็ลอยละลิ่วมาตกลงบนแขนแข็งแรงที่เปิดอ้าขึ้นตามที่สัญชาตญานความเป็นชายในตัวเขาสั่งมา
อิศม์เดชสะดุ้งสุดตัว ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรู้สึกแปลกๆ ยามร่างเล็กแสนนุ่มนิ่มของสาวแปลกหน้าที่เขารู้สึกรังเกียจในนิสัยของเจ้าหล่อนโดยที่ไม่ต้องมีการพูดคุยกันนั้นแนบสนิทไปกับแผงอกบึกบึน จังหวะการสูบฉีดเลือดของหัวใจเร็วและแรงขึ้นจนเขารู้สึกได้...
แล้วในขณะที่เขายังงุนงงกับความรู้สึกของตัวเอง ผู้หญิงอีกคนก็ปรี่เข้ามากระชากร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาไป
“อีนังอีตัว  ไม่มีปัญญาหาผัวเองหรือไง ถึงได้ร่านมาหาผัวชาวบ้านเขาอย่างนี้”
วิภาดาตามด่าเช็ด พร้อมกับฝากรอยฝ่ามือไว้บนใบหน้านวลเปื้อนน้ำตาของมุกตาภาอีกครั้ง เรียวปากอิ่มถูกขบเข้าหากันอย่างแค้นเคือง ถ้ารู้ว่านังผู้หญิงหน้าด้านจะมาที่นี่ด้วย หล่อนคงไม่ออกมาเปิดหูเปิดตากับนิรุจน์เป็นแน่ คิดว่าจะแต่งงานให้ไปพ้นๆ ชีวิตหล่อนแล้ว ที่ไหนได้ยังแอบนัดมาพรอดรัก เยาะเย้ยหล่อนอยู่ได้...
คนโดนตบไปถึงสองครั้งเจ็บแปล๊บไปทั้งหน้า ทว่าเจ็บใดใดเท่าเจ็บปวดอย่างสาหัสตรงขั้วหัวใจของเธอไม่ ความจริงที่เธอพยายามวิ่งหนี แต่มันกลับตามมาหลอกหลอนเธอไม่จบไม่สิ้น
มุกตาภาร้องไห้โฮอย่างเจ็บร้าวไปทั้งตัวและหัวใจ มือน้อยกอบกุมใบหน้างามที่ส่ายดิก อยากจะปฏิเสธข้อกล่าวหา ทว่าสูญสิ้นทุกคำพูด เพราะถึงวิภาดาจะด่าว่าเธอแรงเกินไป แต่มันก็ยังแฝงไว้ด้วยความจริงหลายอย่าง...
“จำไว้นะอีมุกตาภา อย่าสะเออะมาแย่งผัวฉันอีก” คนหวงผู้ชายของตัวเองอาฆาตทิ้งท้าย ผลักร่างเล็กจนโซเซไปซบนายเหมืองหนุ่มที่ยืนผิดที่ผิดทางอยู่อีกครั้ง ก่อนหันไปฉะนิรุจน์ที่ยืนแน่นิ่งตกตะลึงถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าวิภาดาจะมาเห็นเขากับมุกตาภาตำตา
“รุจน์ก็เหมือนกัน อย่าให้วิรู้นะ ว่ารุจน์ยังติดต่อกับแม่นี่อีก แล้วจะหาว่าวิไม่เตือนไม่ได้” หล่อนประกาศกร้าว แววตาถลึงออกมาจนแทบหลุดออกมาจาเบ้า ก่อนกระชากร่างนิรุจน์ออกไปจากผับทันที...
มุกตาภาสะอื้นไห้อย่างคนสูญสิ้นกำลังใจในการดำเนินชีวิตอยู่บนอกแกร่งของผู้ชายแปลกหน้าซึ่งอ้อมแขนของเขาช่วยรองรับเธอไว้ถึงสองครั้งสองครา แล้วมันก็ให้ความอบอุ่นในแบบที่เธอไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน คนที่กำลังอ่อนแอ จึงร้องไห้อยู่บนอกของชายหนุ่มอยู่เป็นนาน
ในใจของอิศม์เดชนั้นทั้งสงสารทั้งเกลียดชัง ทว่านิสัยน่ารังเกียจเช่นนี้มันมีอิทธิพลต่อจิตใจที่เคยช้ำมากกว่า มือหนาที่ยกขึ้นตั้งใจจะลูบหลังปลอบประโลมร่างเล็กสั่นสะท้าน ก็เปลี่ยนเป็นบีบแน่นลงบนต้นแขนเรียวจนมุกตาภารู้สึกตัว ว่าซุกซบอยู่บนอกกว้างของชายแปลกหน้านานเกินไปแล้ว
“ขะ ขอบคุณค่ะ” มุกตาภาเงยหน้ามาพูดกับเขา
ร่างเล็กเบี่ยงตัวออกมาจากวงแขนแกร่งที่ออกแรงรัดเธอแรงขึ้นและแรงขึ้นจนเธอต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“ปะ ปล่อย ฉันเถอะค่ะ” เธอร้องบอกอีกครั้ง
และนั่นจึงทำให้อิศม์เดชที่ออกอาการโกรธสาวตรงหน้ารู้สึกตัว สลัดร่างเล็กทิ้ง จนมุกตาภาโซเซ จากทั้งแรงผลักและฤทธิ์น้ำเมาที่ยังแล่นอยู่ในสายเลือด
ดวงตาสีนิลที่ทอประกายแห่งความเกลียดชัดกราดมองร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูถูกดูแคลน ก่อนมาจ้องดวงตากลมโตแดงช้ำของผู้หญิงที่เป็นบ่อทำลายความรักของครอบครัวคนอื่น และมันก็ยิ่งทำให้อิศม์เดชสั่นสะท้านไปทั้งตัวยิ่งขึ้น มือหนากำหมัดเข้าหากันอย่างสะกดอารมณ์
เพราะความรักของเขาก็พังทลายเพราะมือที่สามด้วยเช่นกัน...
ยิ่งคิด ดวงไฟที่ลุกโชนในดวงตาคมก็โชติช่วงจนมุกตาภาต้องเสหลบ
อิศม์เดชขบกรามแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ถึงจะโกรธเคืองแค้นใจสาวสวยตรงหน้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา ร่างใหญ่จึงเดินหนีจากไปโดยไม่คิดจะเอ่ยปากอะไรกับหญิงสาวสักคำ นอกจากถ้อยคำดูแคลนมากมายในใจของเขา
ผู้หญิงไร้ยางอาย ขออย่าให้ได้เจอกันอีกเลย...
มือน้อยยกขึ้นปาดน้ำตาแห่งความอับอายออกจาร่องแก้มของตน ไม่แปลกใจกับท่าทีรังเกียจเดียจฉันท์ของเขาสักนิด เขาคงได้ยินที่วิภาดาบริพาษเธอไว้ทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวกับผู้ชายที่เธอคงไม่พบไม่เจอกับเขาอีก...เช่นกัน

อีกสองวันต่อมา งานแต่งงานเล็กๆ ตามคำขอของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่เห็นตรงกัน ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายในคฤหาสน์ของครอบครัวธรรมภิบาล เพราะมีพื้นที่และเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมกว่าบ้านเจ้าสาว และแม้งานแต่งจะเล็ก แต่เปี่ยมล้นด้วยความปีติยินดีของผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่จากทั้งสองฝ่ายซึ่งนั่งรอเจ้าสาวให้ออกมาสวมแหวนหมั้นอยู่ในห้องรับแขก ในพิธีช่วงเช้าของวันนี้
“ตื่นเต้นไหมคะ พี่เอิร์ธ” เสียงของอรวรรญากระซิบกระซาบอยู่ด้านหลังเจ้าบ่าวซึ่งนั่งพับเพียบรอเจ้าสาวของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะตัวเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับการแต่งงานครั้งนี้ นอกเสียจากการทดแทนบุญคุณบุพการี
“ไม่” เขาตอบสั้นๆ ทำเอาน้องสาวยู่หน้าอย่างซุกซนจากทางด้านหลัง
“เดี๋ยวก็ได้ตื่นเต้นยิ่งกว่านั่งรถไฟตีลังกา เมื่อได้เห็นหน้าพี่สะใภ้แน่ๆ พี่มุกสวยมากๆ เลยค่ะ” เธอโฆษณา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลยสักครั้ง เพราะตัวเจ้าบ่าวที่ตอบตกลงแต่งงานอย่างไม่คาดฝันก็เพิ่งบินขึ้นมาร่วมงานเมื่อสองวันที่แล้ว ปล่อยให้น้องสาวอย่างเธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง พามุกตาภาไปลองชุดแต่งงานเอย หาของชำร่วยเอย จนทำให้รู้จักนิสัยใจคอลูกสาวเพื่อนมารดาเป็นอย่างดี
และอรวรรญามั่นใจว่า คุณหญิงแม่เลือกพี่สะใภ้ได้เหมาะสมกับพี่ชายภูเขาน้ำแข็งของเธอเป็นที่สุด
“คงไม่สวยไปกว่าน้องสาวของพี่หรอก” พี่ชายหันมาชมน้องสาวที่สวยอย่างที่เขาพูดเอาไว้จริงๆ
“แหม พี่เอิร์ธปากหวานเป็นกับเขาเป็นด้วย งั้นก็ต้องพูดเพราะๆ แบบนี้กับพี่มุกบ้างนะคะ อ๊ะ มาแล้วค่ะ เจ้าสาวมาแล้วค่ะ” อวรรญาแนะนำด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ก่อนเปลี่ยนเป็นวี๊ดว้าย เมื่อเป็นร่างงามของเจ้าสาวเดินลงมาจากชั้นบนบ้าน
เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นของน้องสาวเจ้าบ่าว ทำให้สายตาของผู้ร่วมงานทุกคนมองตรงไปยังบันไดบ้าน ซึ่งเจ้าสาวมาใช้ห้องด้านบนเป็นห้องแต่งตัวตั้งแต่เมื่อตอนตีห้าของวันเดียวกัน
เจ้าสาวที่อยู่ในชุดไทยจักรีสีงาช้างค่อยๆ เดินตรงมายังห้องรับแขกนั้น ตรึงสายตาผู้ร่วมงานไว้ตรงจุดเดียว...
ไม่เว้นแม้แต่สายตาคมเบิกโพลงของพระเอกของงานอย่างอิศม์เดชด้วย
ร่างเล็กทว่าอิ่มเอิบไปทุกส่วนสัด ยามเยื้องกราย ยามยิ้ม ยามยกมือไว้ทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ รวมทั้งตัวเขาด้วย สะกดลมหายใจของอิศม์เดชให้แน่นิ่ง...
“สวัสดีค่ะพี่เอิร์ธ” เสียงหวานดั่งระฆังใสเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่หวานบาดใจ จนคนเห็นใจเต้นแรงระทึก... ยกมือหนาสั่นรับไว้เจ้าสาวราวกับโดนมนต์สะกด
“สวัสดี...คะ ครับ” เสียงทุ้มตะกุกตะกัก นัยน์ตาคมก็จดจ้องใบหน้าหวานไม่วางตา...
เจ้าสาวของเขาสวยสด งามงดอย่างที่น้องสาวชื่นชมให้ฟังอยู่บ่อยๆ... ก็จริง
ทว่าดวงหน้าหวานที่เขาได้เห็นเต็มตาเมื่อร่างเล็กมาหย่อนกายนั่งในฝั่งตรงข้ามร่างใหญ่นั้น ก็ทำให้เขาแข็งทื่อกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งไปโดยทันที..
เพราะวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าเจ้าสาวของเขาอย่างชัดเจน อิศม์เดชรู้สึกราวกับโดนชนด้วยเรือไททานิค เซลล์สมองโดนทับจนแบน ทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่เหมือนคนสิ้นชีวิตไปแล้ว...
ผู้หญิงที่จะมาเป็นเมียของเขานับจากวันนี้เป็นต้นไป คือหญิงสาวที่เขาเจอในผับเมื่อวันก่อนนั่นเอง
ผู้หญิงที่ไร้ยางอาย ผู้หญิงที่เป็นบ่อทำลายความรัก ผู้หญิงที่สกปรกเต็มไปด้วยราคีคาว...
และเขาก็รู้สึกรังเกียจสาวสวยตรงหน้าเป็นที่สุด
ความรู้สึกชื่นชมต่อรูปลักษณ์ภายนอกในคราแรกสบพักตร์หวานล้ำนั่น สูญสลายกลายเป็นสูญญากาศในชั่วพริบตา กรามแกร่งของเจ้าบ่าวถูกขบเข้าหากันจนเจ้าสาวได้ยิน...
มุกตาภาเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าบ่าวด้วยความตื่นตะลึงตกใจ แว้บแรกที่เห็นใบหน้าคมแสนหล่อเหลาของเขา เข่าของเธอก็แทบทรุด ถึงจะได้ยินคำชมในเชิงเย้าหยอกจากอรวรรญาถึงพี่ชายบ่อยครั้ง แต่มุกตาภาก็ไม่คิดว่านายเหมืองหนุ่มจะมีรูปลักษณ์คมสันต์ รูปหล่อไม่ต่างกับดาราหนังเลยสักนิด
และเธอต้องบังคับตัวเองเป็นอย่างมากให้เดินด้วยท่วงจังหวะปกติ เพื่อมานั่งอย่างสงบเสงี่ยมตรงหน้าเขา ก่อนจะก้มหน้างุดอย่างเขินอาย ต่อสายตาร้อนแรงที่จ้องมายังเธอไม่วางตา
จนเมื่อเธอได้ยินเสียงฟันขบกัน จึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตน ก็พบว่านัยน์ตาคมที่เคยร้อนระอุตอนนี้มันลุกขึ้นเป็นเพลิงไฟ
ดวงตากลมโตที่ถูกตกแต่งไว้อย่างดีจากช่างแต่งหน้ามืออาชีพเบิกโพลงขึ้นอย่างฉงนใจ ก็ในเมื่อเขายังมองเธออย่างชื่นชมอยู่ก่อนหน้า แล้วทำไมตอนนี้ถึงจ้องเธอไม่ต่างกับโกรธเกลียดแค้นใจกันมากว่าสิบชาติ
หลังจากทำใจมานาน... ในที่สุด มุกตาภาก็ทำใจยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ได้ และหวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีสิ่งดีๆ รอเธออยู่ข้างหน้า แต่ดูท่าแล้ว... คงไม่ใช่
ในความขัดข้องขุ่นใจระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาว พิธีหมั้นก็ถูกดำเนินไปตามฤกษ์ยามที่กำหนดไว้ เสียงชื่นชมแห่งความปลาบปลื้มต่อตัวบ่าวสาวมีดังออกมาไม่ขาดสาย ในขณะที่เจ้าของงานทั้งสองก็นิ่งเงียบ จมอยู่ในความคิดของตน และต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปตามคำบอกของพิธีกรของงาน...
ดวงตากลมโตลอบสังเกตุเจ้าบ่าวของตนเป็นระยะๆ ช่วงพิธิการต่างๆ คิ้วสวยถูกขมวดเข้าหากันบ่อยครั้ง เธอรู้สึกคุ้นๆ หน้าคมคล้ามของเขาอยู่ไม่น้อย ราวกับว่าเคยพบเจอเขาจากที่ไหนสักแห่ง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“โอ๊ย” เสียงหวานร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา เมื่อโดนเจ้าบ่าวสวมแหวนหมั้นอย่างกระแทกกระทั้น จนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งนิ้ว มือหนาที่คว้ามือน้อยอยู่ก็บีบแน่นจนเนื้อขาวๆ ของเธอออกผื่นแดง
“มุกเจ็บค่ะ พี่เอิร์ธ” เธอบอกเสียงลอดไรฟัน
มุกตาภาจึงพยายามสลัดมือออกมาจากเกาะกุม และในขณะเดียวกันก็ต้องยิ้มแย้มให้ญาติผู้ใหญ่ราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แต่เธอมั่นใจว่าสายตาร้อนแรงคุกกรุ่นของอิศม์เดชยามจ้องมองเธอนั้น มีอะไรไม่ชอบมาพากลแฝงอยู่เป็นแน่
“ฉันมีน้องคนเดียว คืออออร์แกน” อิศม์เดชก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็ก หลังจากต้องทนฟังคำเรียกเช่นนี้จากปากผู้หญิงหน้าไม่อายถึงสองครั้งสองครา
แม้ลมร้อนที่เป่ารดกระทบหูของเธอทำให้เธอรู้สึกเบาหวิวในช่องท้องก็ตาม ทว่าถ้อยคำไร้มิตรมาให้นั้น ก็ทำให้เธอลืมความร้อนวูบวาบไปโดยพลัน
และมันทำให้เธอได้คำตอบของสายตาวาวโรจน์ของเขา
เขาไม่ชอบเธอ... เพราะอะไร มุกตาภาคิดอย่างกริ่งเกรง แววตาหวานไหวระริก เขาไปรู้อะไรมาหรือเปล่า...
 “ขอเก็บภาพเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวหน่อยครับผม”
เสียงช่างภาพที่ถูกจ้างมาเก็บภาพแห่งความประทับใจของผู้ร่วมงานไม่ใช่เจ้าของงานร้องดังแทรกขึ้นมา พร้อมจัดเตรียมกล้องราคาแพงในมือตนให้พร้อมเพรียงสำหรับช็อตเด็ดเอาไว้
บ่าวสาวที่อยู่ในภาวะตึงเครียดโดยไม่มีใครรับรู้มองตากันอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“หอมแก้มน้องเร็วเข้าสิตาเอิร์ธ ผู้หลักผู้ใหญ่รอกันแย่แล้ว”
คุณหญิงอรวราเร่งอย่างปลาบปลื้มตื้นตัน ที่ได้เห็นลูกชายของตนเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่ท่านหมายตาไว้นานนมแล้ว
“หอมแก้มนะคะพี่เอิร์ธ ไม่ใช่จูจุ๊บที่ปาก” เสียงของอรวรรญาเย้าออกมาจากมุมใดมุมนึงของห้อง ก่อนหันไปหัวเราะคิกคักกับอนาวินท์ ผู้เป็นสามีซึ่งกำลังอุ้มลูกสาวคนเล็กอยู่บนอก
“ถ้าจะอยากจะจูบหรือทำมากกว่านี้ คงต้องรอตอนส่งตัวนะนายเหมือง”
อติวิชญ์เองก็ถือโอกาสแหย่น้องชายหน้าขรึมด้วย หากตัวเขาเองกลับไม่ลืมหันไปส่งยิ้มหวานให้นลินทินี ภรรยาคนสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกด้วย มือหนาก็กอบกุมมือน้อยในมือไว้แน่น เป็นสัญญาณว่า เขาเองก็อยากทำอย่างที่พูดในคืนนี้เช่นกัน...
หลากหลายเสียงหยอกเย้าทว่าเปี่ยมล้นด้วยความปีติดังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเจ้าของงานทั้งสอง...
ถึงจะตกใจกับปฏิกิริยาของเขา ทว่าเจ้าสาวก็ออกอาการเขินอายจนต้องก้มดวงหน้างามแดงเรื่องุด ถึงจะเกินเลยเลยเถิดกับนิรุจน์มาก่อน แต่เธอก็ไม่เคยคุ้นเคยกับความแนบชิดเช่นนี้เท่าใดนัก
ส่วนเจ้าบ่าวที่ไม่ชอบหน้าเจ้าสาวตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าหวานๆ นั่นก็แอบถอนหายใจในอกเฮือกใหญ่ ไม่อยากจะแตะต้องผู้หญิงสกปรกมากรักตรงหน้าเลยสักนิด แต่ไม่อยากต้องทำให้ผู้ใหญ่ต้องลำบากใจ
จมูกโด่งได้รูปที่ตั้งอย่างโดดเด่นอยู่บนใบหน้าคมคล้ามของอิศม์เดชจึงค่อยๆ โน้มลงใกล้แก้มใสแดงซ่านบนใบหน้าหวานที่ถูกมือหนาเชยขึ้น...
...เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตแล้วเขาก็ไม่อาจดึงตัวออกมาจากพันธะของกระแสความร้อนวูบวาบที่แล่นออกมาพันธนาการเขาไว้ ให้แน่นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
คงเป็นประโยคที่อิศม์เดชจะใช้บรรยายความรู้สึกของตนได้ เมื่อจมูกโด่งของเขาแตะเข้ากับแก้มของเจ้าสาว เนื้อนวลแสนหอมกรุ่นละมุนติดจมูกที่เขาไม่ได้ตั้งใจเชยชม ทว่าก็สูดดมเข้าไปเต็มปอดโดยไม่รู้ตัว
และที่ตั้งใจว่าจะแตะจมูกลงไปเพียงเสี้ยววินาที แต่ตัวเขากลับต้องหลับตาพริ้ม ชื่นชมสัมผัสแสนตราตรึง จนเขาห้ามใจไม่ให้สูดกลิ่นสาวนั้นเข้าไปอีกครั้งอย่างสะกดตนเองไว้ไม่ได้...
มุกตาภาผวาเฮือก เมื่อจมูกอุ่นจนร้อนของเจ้าบ่าวแตะเข้ากับแก้มใสแดงสะพรั่งของเธอ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ กับความร้อนที่ส่งผ่านมายังทุกอณูเนื้อบนแก้ม หัวใจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น หากเธอกลับลืมหายใจ ลมหายใจถูกกลั้นเอาไว้อย่างเฝ้ารอให้เขาผละตัวออกไป
ทว่ารอแล้วรอเล่า เขาก็ยังไม่ยอมถอนจุมพิตออกไปสักที และเธอก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดลมหายใจ ความรู้สึกแปลกๆ ที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้กับนิรุจน์ ผู้ชายที่พรากความสาวของเธอไป...
“แก้มน้องช้ำหมดแล้วตาเอิร์ธ” คุณหญิงอรวราเย้า ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำแห่งความปลาบปลื้มออกจากหัวมุมตา
และนั่นก็ทำให้คนที่กำลังเผลอไผลไปกับความหอมละมุนเกินห้ามใจรู้สึกตัว ใบหน้าคมผละจากราวกับโดนเจ้าของพวงแก้มนุ่มผลักออกมา มือหนาอีกข้างที่จับตรงท่อนแขนเรียวงามลงน้ำหนักบีบจนหญิงสาวต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ไม่เข้าใจในการกระทำของเขา
“อย่าได้ใจไปล่ะมุกตาภา เพราะฉันไม่คิดจะแตะต้องผู้หญิงสกปรกอย่างเธออีกแม้เพียงปลายเล็บ”
เจ้าบ่าวกระซิบผ่านไรฟันที่ถูกขบกันอย่างข่มอารมณ์ของตนเอง โกรธเกลียดสาวสวยไร้ศีลธรรมตรงหน้า
แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่ดันไปเผลอไผลกับรูปรสของคนสวยแต่รูป แต่จูบคงไม่หอม ถึงแม้กลิ่นสาวที่ติดอยู่ตรงจมูกโด่งยังละมุมหอมกรุ่นไม่คลาย
นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดและเจ็บปวดที่สุด ซึ่งมุกตาภาได้ยินจากเจ้าบ่าวในวันนี้
ดวงตาโตสั่นระริกคลอไว้ด้วยน้ำใสๆ มองตามหลังแกร่งที่กำลังเดินออกไปร่วมงานเลี้ยงด้านนอก โดยไม่คิดจะหันมามองเจ้าสาวที่โดนทิ้งไว้ด้านหลังสักนิด
แค่เพียงพบเจอกันไม่ถึงวัน พูดจากันไม่กี่คำ สบตากันเพียงไม่กี่ครั้ง เธอก็รู้แล้วว่าเจ้าบ่าวเกลียดชังเธอเพียงใด
มุกตาภาสะอื้นไห้ในอก เธอจะต้องพบต้องเจอกับอะไรบ้าง ในการแต่งงานกับผู้ชายคนนี้
วิวาห์ของเธอจะกลายพันธุ์เป็นวิวาทหรือไม่ เธอยังไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ มันคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเป็นแน่

No comments:

Post a Comment